Month: September 2019

โฮลีฟิลด์โคตรมวยรุ่นยักษ์ตัวจริง

“มวย” คือหนึ่งในกีฬาต่อสู้ที่จริง เจ็บจริงบนสังเวียน ตำแหน่งแชมป์มวยเฮฟวี่เวทอาจจะหมายถึงมนุษย์ผู้แข็งแกร่งที่สุดในโลกก็ได้ การต่อสู้ในรุ่นเฮฟวี่เวทที่ไม่จำกัดน้ำหนักตัว ความใหญ่โตของร่างกายย่อมเป็นส่วนหนึ่งของความได้เปรียบ แต่นักมวยบางคนที่อาจจะตัวเล็กแต่ก็มีหมัดพิฆาตเป็นหมัดเด็ดที่พระเจ้าประทานมาเป็นอาวุธเพื่อพร้อมจะล้มนักมวยทุกคนได้ในทุกเวลาที่มีโอกาส แต่สำหรับโฮลีฟิลด์แล้วเขากลับไม่มีสิ่งเหล่านั้นเลย เขาเป็นนักมวยที่ถือว่าตัวเล็กในรุ่นเฮฟวี่เวท มีน้ำหนักตัวเพียง 200-220 ปอนด์เท่านั้น โฮลีฟิลด์ไม่ถูกจัดว่าเป็นนักมวยหมัดหนัก มีหลายไฟท์ตลอดอาชีพการชกมวยที่ต้องแพ้ชนะด้วยการนับคะแนน แล้วเหตุใดโฮลีฟิลด์ที่แพ้ไปถึง 10 ไฟท์ในการชกตลอดอาชีพของเขา จึงถูกยกย่องจากแฟนมวยและนักมวยชื่อดังอีกหลายคน นักมวยที่ดีที่สุดในรุ่นครุยเซอร์เวทตลอดกาล อีแวนเดอร์ โฮลีฟิลด์ เกิดเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 1962 เจ้าของส่วนสูง 6 ฟุต 2 (1.89 ซม.) เริ่มต้นการชกมวยรุ่นไลท์เฮฟวี่เวท(178 ปอนด์) และคว้าเหรียญทองแดงได้ในโอลิมปิกเกมส์ 1984 ที่ลอสแองเจลิส ก่อนขยับขึ้นไปชกในรุ่นครุยเซอร์เวท(ไม่เกิน 200 ปอนด์)และคว้าแชมป์โลกเดือนพฤษภาคมปี 1987 ด้วยวัย 25 ปี โฮลีฟิลด์ชกในรุ่นนี้อยู่ 2 ปี จนไม่สามารถหาคู่ชกได้จึงต้องขยับขึ้นมาในรุ่นเฮฟวี่เวท แต่ก็ทำน้ำหนักเพิ่มขึ้นมาอีกเพียง 20 ปอนด์เท่านั้นซึ่งนับได้ว่าเป็นนักมวยตัวเล็กและน้ำหนักน้อยที่สุดคนหนึ่งที่คว้าแชมป์โลกเฮฟวี่เวทได้ในเวลาต่อมา

ซามเมอร์ลิเบอโร่ลูกบอลทองคำ

หากจะพูดถึงนักฟุตบอลที่เล่นกองหลังในปัจจุบัน หลายคนคงคิดถึงชื่อ “เฟอร์กิล ฟานไดค์” กองหลังลิเวอร์พูลและฮอลแลนด์ ฟาน ไดค์ คือ ยอดกองหลังตัวกลางแห่งยุคซึ่งเล่นได้ครบเครื่องโดยเฉพาะการป้องกันลูกกลางอากาศจากคู่ต่อสู้ หรือผู้เล่นในตำแหน่งแบ็คที่วิ่งขึ้นลงแต่ละด้านของสนามทั้ง ซ้ายและขวา มีความเร็ว เลี้ยงบอลได้ดีไม่แพ้นักเตะในแนวรุกเลย เช่น มาร์เซโล่, จอร์ดี้ อัลบา แต่สำหรับมัทเธอัส ซามเมอร์ เจ้าของฉายา “เจ้าชายผมแดงเพลิง” ที่สื่อไทยตั้งให้แล้วกลับแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง คว้าแชมป์กับม้าขาว ย้ายไปเสี่ยงโชคกับงูใหญ่ กลับมาคว้าแชมป์ใหญ่กับเสือเหลือง  ซามเมอร์เกิดเมื่อวันที่ 5 กันยายน 1967 ในเยอรมันตะวันออกเขาเริ่มเล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรุกให้กับทีมไดนาโม เดรสเดนหนึ่งใน 2 สโมสรชื่อดังของฝั่งเยอรมันตะวันออก หลังจากรวมเยอรมันแล้วเดรสเดนกับฮันซ่า รอสต็อคคือสองสโมสรจากฝั่งตะวันออกที่ได้ลงเล่นในบุนเดสลีกาด้วยกัน การเล่นที่โดดเด่นกับไดนาโม เดรสเดนทำให้ “ม้าขาว”วีเอฟบี สตุ๊ตการ์ทคว้าซามเมอร์ไปร่วมทีม ในช่วงเวลานี้ซามเมอร์เล่นในตำแหน่งจอมทัพเต็มตัวโดดเด่นทั้งรุกและรับจนสามารถพาทีมม้าขาวคว้าแชมป์บุนเดสลีกาเยอรมันสำเร็จในสมัยที่ 4 ในขณะนั้น แต่อยู่กับทีมม้าขาวรวมได้เพียง 2 ปี ก็ถูกทีม “งูใหญ่” อินเตอร์ มิลานยักษ์ใหญ่เซเรียอาทุ่มเงินซื้อเพื่อหวังจะได้เป็นตัวแทนโลธ่าร์ มัทเธอุส

โบบันตอบรับร่วมทีมบริหารมิลานหวังพาทีมกลับสู่ความยิ่งใหญ่

ซโวนีเมียร์ โบบันอดีตมิดฟิลด์สุดคลาสสิคของโครเอเชียเกิดเมื่อ 8 ตุลาคม 1968 เขาคืออดีตกัปตันทีมตราหมากรุกผู้พาโครเอเชียคว้าอันดับสามในฟุตบอลโลกมาแล้วในปี 1998 เจ้าของฉายา “ซอโร(zorro)” เป็นหนึ่งในมิลานยุคดรีมทีมที่พาทีมคว้าแชมป์มากมายในยุค 1990 นานนับทศวรรษ กลับสู่เอซี มิลานอู่ข้าวอู่น้ำเก่าเพื่อรับตำแหน่งสำคัญ โดยหวังจะพาทีมกลับไปเป็นมิลานทีมเดิมที่เคยสร้างความเกรียงไกรในยุโรปมาแล้ว จากรองเลขาธิการฟีฟ่าถึงผู้บริหารคนสำคัญในมิลาน หลังจากโบบันแขวนสตั๊ด ชื่อของโบบันได้ถูกพูดถึงอีกครั้งเมื่อเข้ารับตำแหน่งรองเลขาธิการฟีฟ่าในปี 2016 ก่อนเข้ารับตำแหน่งฝ่ายบริหารของเอซีมิลานโดยมีหน้าที่พัฒนาทีมและประสานงานกับบอร์ดบริหารร่วมกับเปาโลมัลดินี่รวมไปถึงการวางยุทธศาสตร์ของทีม ภายใต้การนำของโบบันเต็มไปด้วยความท้าทาย เพราะฟุตบอลในปัจจุบันนี้เต็มไปด้วยเม็ดเงินจากเศรษฐีระดับมิลเลี่ยนแนร์ไม่ได้ถูกยึดผูกติดกับชื่อเสียงความเป็นมาคือประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ของแต่ละสโมสรเช่นเดิมมากเหมือนก่อนอีกแล้ว มิลานของเขาอาจจะเป็นสโมสรที่ประสบความสำเร็จอย่างมากของอิตาลีก็จริง แต่การนำมิลานกลับมายิ่งใหญ่ในยุคที่ทุกอย่างดูจะเป็นธุรกิจและเงินทองไปหมด จึงท้าทายความสามารถของโบบันไม่น้อยกว่าตอนที่เขาเป็นนักเตะเลย การสร้างทีมขึ้นมาใหม่(อีกครั้ง) สโมสรอย่างเอซีมิลานเวลาจะเป็นสิ่งสำคัญเสมอ นักเตะและแฟนบอลมักจะรอคอยได้ไม่นาน โบบันได้พูดถึงสาเหตุของความตกต่ำเป็นผลมาจากความต่อเนื่องของเศรษฐกิจที่ตกต่ำทั่วยุโรป อิตาลีเองก็เป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบอย่างมาก โดยเฉพาะในเวทีกัลโช่เซเรียอาของพวกเขาหลายสโมสรแทบล้มละลาย ต้องขายผู้เล่นที่ดีที่สุดของตนออกไป เพื่อรักษาสถานภาพของสโมสร เอาไว้เรื่องการจะไปดึงนักเตะระดับซุปเปอร์สตาร์เหมือนในช่วงทศวรรษ 80-90 ไม่มีทางเป็นไปได้เลย เอซี มิลานเองก็เป็นหนึ่งในทีมที่ประสบปัญหาเช่นกัน มิลานขายนักเตะที่ดีที่สุดของตนออกไปคนแล้วคนเล่าและทำได้เพียงเซ็นนักเตะฟรีหรือราคาถูกเข้ามาร่วมทีม จึงได้เพียงประคับประคองผลงานทีมเอาไว้แต่ไม่สามารถประสบความสำเร็จอะไรเป็นชิ้นเป็นอันตลอดหลายปีที่ผ่านมา โบบันรู้ว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3-4 ปีที่จะสร้างทีมให้กลับมาเป็นทีมชั้นนำของอิตาลีอีกครั้ง สิ่งที่โบบันได้ทำไปแล้วคือการดึงจาม เปาโล เข้ามารับตำแหน่งกุนซือคนใหม่ของทีมรวมถึงเปลี่ยนแปลงระบบการเล่นใหม่จาก 4-3-3 เดิม มาเป็น 4-3-1-2

ฮอลแลนด์ยุคใหม่ที่ไฉไลกว่าเก่าของคูมัน

ประเทศเนเธอร์แลนด์หรือที่คนมักเรียกอีกชื่อที่คุ้นเคยว่า “ฮอลแลนด์” ซึ่งหากพูดถึง “ฟุตบอล” แล้วฮอลแลนด์ถือว่าเป็นชาติอีกชาติหนึ่งที่ผู้คนให้ความสนใจและประสบความสำเร็จอย่างสูงในระดับสโมสร แม้ว่าในระดับชาตินั้นพวกเขาต้องรับบทพระรองเสียส่วนใหญ่ แต่สไตล์การเล่นของทีมที่เป็นเอกลักษณ์ เล่นเกมรุกเป็นหลัก จึงเป็นอีกชาติหนึ่งที่มีแฟนฟุตบอลติดตามเชียร์ทั่วโลกและจำนวนไม่น้อยในประเทศไทย โททัล ฟุตบอลและยอดนักเตะในตำนาน ฮอลแลนด์มีชื่อเล่น “ออรันเย่” อันหมายถึงสีส้มนั้นเองโดยสังเกตได้จากชุดแข่งที่เน้นสีส้มเป็นหลักและประกอบไปด้วยสีขาวและสีน้ำเงินใน ซึ่งนำมาจากสีธงชาติของพวกเขานั่นเอง ฮอลแลนด์มีสไตล์การเล่นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายคือ “โททัล ฟุตบอล” ผู้เล่นในทีมจะต้องสามารถทดแทนตำแหน่งกันได้ตลอดเวลานั่นเอง ซึ่งหลายทีมได้นำไปประยุกต์ใช้จนประสบความสำเร็จกันมากมาย นอกจากสไตล์การเล่นอันเป็นเอกลักษณ์แล้วทีมยังประกอบไปด้วยนักเตะยอดเยี่ยมอยู่มากมาย เช่น โยฮัน ครัฟฟ์ อดีตยอดนักเตะที่ไม่ว่าหากมีการจัดอันดับโลกนักเตะระดับสุดยอดเมื่อไหร่ ชื่อนี้จะต้องได้รับคะแนนเป็นลำดับต้น ๆ เสมอ รวมถึงรุด กุลลิท, มาร์โก แวน บาสเท่นและแฟรงค์ ไรจ์การ์ด 3 ทหารเสือของเอซี มิลานผู้พาปีศาจแดง-ดำแห่งอิตาลีประสบความสำเร็จอย่างมากมาย ที่สำคัญยังพาฮอลแลนด์คว้าแชมป์แห่งชาติยุโรปอันเป็นแชมป์ระดับชาติแชมป์เดียวของฮอลแลนด์อีกด้วยในปี 1988 ซึ่งฮอลแลนด์ในชุดนั้นได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในทีมที่ดีที่สุดทีมหนึ่ง และทำให้แฟนบอลทั่วโลกเริ่มสนใจติดตามเชียร์ทีมนี้ ราชาไร้บัลลังก์ นอกจากแชมป์ยุโรปในปี 1988 ที่เยอรมนีเป็นเจ้าภาพแล้ว ฮอลแลนด์ได้เข้าชิงในฟุตบอลโลกถึง 3 ครั้งแต่ทุกครั้งจบลงเหมือนกันด้วยความพ่ายแพ้ทั้ง 3 ครั้ง

เมสซี่ได้ไปต่อกับอาร์เจนติน่าหลังคำตัดสินของคอนเมโบล

ลิโอแนล เมสซี่สุดยอดนักเตะฟ้าประทานแห่งศตวรรษยังคงมีโอกาสไขว่คว้าความสำเร็จกับทีมฟ้า-ขาวอาร์เจนตินาต่อไปหลังฟังคำตัดสินของสหพันธ์ฟุตบอลอเมริกาใต้ เจ้าของฉายา “ลา ปุลก้า” และอีกฉายาที่เพิ่งได้รับมาใหม่ G.O.A.T ที่ไม่ได้แปลว่า “แพะ” แต่ย่อมาจาก Greatest of all time ซึ่งเป็นการยกย่องนักกีฬาที่เก่งที่สุดตลอดกาลในประเภทนั้น ๆ เช่น ไมเคิล จอร์แดนตำนานนักบาสเกตบอล NBA ก็ได้รับฉายานี้เช่นกัน ความสำเร็จร่วมกันที่อาร์เจนตินาและเมสซี่ยังรอคอย สำหรับบาร์เซโลน่าแล้วเมสซี่คือหนึ่งในนักฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด เขาได้ค่าเหนื่อยสูงกว่าใคร เขาทำสถิติส่วนตัวกับบาร์เซโลน่าเอาไว้มากมายจนบรรยายไม่หมด คว้าทุกแชมป์ให้กับสโมสรและรางวัลส่วนตัวเกือบทุกรางวัลมาจนครบถ้วนแล้ว แต่ในเสื้อฟ้า-ขาวของอาร์เจนตินาที่เขารักนอกจากแชมป์โลกในสมัยที่เมสซี่ยังเป็นเยาวชนแล้วกลับได้พบแต่ความผิดหวัง การพาทีมเข้าชิงถึง 4 ครั้งในทัวร์นาเมนต์ใหญ่และจบลงด้วยความพ่ายแพ้ทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นฟุตบอลโลก 2012 เข้าชิงกับเยอรมัน การแพ้จุดโทษให้กับชิลี 2 ครั้งติดต่อกัน มันช่างดูเป็นอะไรที่โหดร้ายเกินกว่าจะจินตนาการได้สำหรับนักเตะระดับเขา หลายครั้งที่เมสซี่เลือกจะอำลาอาร์เจนตินาแต่ก็ทนฟังเสียงเรียกร้องจากแฟนบอลและหัวใจตัวเองได้ไม่นานต้องกลับมารับใช้ทีมเหมือนเดิม เสือกระดาษคอนเมโบล ในรอบรองชนะเลิศฟุตบอลโคปาอเมริกา 2019 ที่บราซิลเป็นเจ้าภาพ อาเจนติน่าแพ้บราซิลตกรอบอีกครั้ง และครั้งนี้กัปตันเมสซี่ออกมาวิจารณ์เจ้าภาพบราซิลเละเทะทั้งเรื่องพื้นสนามที่ย่ำตลอดการแข่งขัน รวมถึงการใช้ var ของเจ้าภาพ และในแมทช์ชิงที่ 3 พบกับชิลีคู่ปรับเก่า

ประตูแรกของ “ธีรทร” บนเกาะญี่ปุ่น อีกก้าวสำคัญในสังเวียนเจลีก

ธีรทร บุญมาทัน ประเดิมประตูแรกของตัวเองในเจลีกได้สำเร็จ หลังจากย้ายมาค้าแข้งที่ญี่ปุ่นเป็นฤดูกาลที่สอง โดยประตูนี้ช่วยให้โยโกฮามา เอฟ มารินอส ออกนำผู้มาเยือนอย่างกัมบะ โอซาก้า ก่อนเจ้าถิ่นจะเก็บชัยชนะไปด้วยสกอร์ 3-1 ถือเป็นนักเตะไทยรายที่ 3 ที่สามารถทำประตูได้ในเจลีก ต่อจากธีรศิลป์ แดงดา และชนาธิป สรงกระสินธ์                 แบ็กซ้ายทีมชาติไทย เริ่มต้นเกมได้อย่างดีในการป้องกันเกมบุกของคู่แข่งทางกราบขวา และมีจังหวะช่วยทีมเติมเกมรุกอยู่เป็นระยะ จนกระทั้งนาทีที่ 39 ธีรทรขึ้นมาช่วยเกมรุกอีกครั้ง โดยพาตัวเองตัดเข้ากลางบริเวณหน้ากรอบเขตโทษ เมื่อรับบอลจากเพื่อนธีรทรแต่งบอลหนึ่งจังหวะก่อนบรรจงสับไกด้วยเท้าซ้ายบอลพุ่งเสียบตาข่ายชนิดที่มาซาอากิ ฮิกางุจิ ผู้รักษาประตูคู่แข่งได้แต่ยืนขาตายและใช้เพียงสายตาป้องกันเท่านั้น นับเป็นประตูที่ 3 ที่นักเตะทีมชาติไทยยิงผ่านผู้รักษาประตูทีมชาติญี่ปุ่นในรอบ 4 ปี                 ทั้งคู่เคยเผชิญหน้ากันครั้งแรกเมื่อปี 2015ในศึกเอเอฟซี แชมเปียนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่ม สมัยที่ธีรทรยังเล่นให้กับบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด นัดแรกเจ้าอุ้มยิงฟรีคิกระยะกว่า 30 หลาเสียบคานอย่างสุดสวย ช่วยให้บุรีรัมย์ตามตีเสมอกัมบะ โอซาก้า 1-1 หลังทำประตูได้ยังแสดงท่าดีใจเลียนแบบคริสเตียโน่ โรนัลโด้อีกด้วย ต่อมาในนัดที่สองที่เจอกัน