Month: April 2019

กระทรวงสาธารณสุขเปิดทาง 16 ตำรับยาสกัดจากกัญชาเริ่มใช้ได้อย่างถูกต้อง

ประเด็นเรื่องการใช้กัญชาอย่างถูกกฎหมายในบ้านเรา ถือว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างอ่อนไหว และเป็นเรื่องที่ยังใหม่ต่อคนไทยทำให้การพิจารณาเรื่องนี้ดูจะต้องใช้ความรอบคอบและใช้เวลาพิจารณากันในหลาย ๆ ด้าน แต่อย่างไรก็ดีล่าสุด กระทรวงสาธารณสุขของไทยได้มีการประกาศอย่างเป็นทางการในราชกิจจานุเบกษาแล้วว่า ให้ตำรับยาไทย 16 ตำรับสามารถที่จะใช้กัญชาเป็นส่วนผสมได้อย่างถูกต้อง เปิดทางยาไทยมีส่วนผสมกัญชาได้ กระทรวงสาธารณสุขมองเห็นว่า กัญชานั้นมีทั้งประโยชน์และโทษ ซึ่งตามกฎหมายในบ้านเรานั้น กัญชาเคยจัดให้เป็นสิ่งเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 แต่ด้วยการศึกษาวิจัยมาต่อเนื่อง รวมถึงการยืนยันจากต่างประเทศว่า กัญชานั้นมีคุณประโยชน์ในทางการแพทย์สำหรับการรักษาโรคได้ หากนำมาใช้อย่างถูกต้องและถูกสัดส่วนในปริมาณที่แพทย์สั่ง หรือมีการควบคุมโดยแพทย์ กรณีเช่นนี้กัญชาจะส่งผลดีต่อผู้คนมากกว่า นั่นจึงทำให้ไทยเราเองก็ต้องรีบนำเรื่องนี้มาพิจารณา ซึ่งจากการศึกษาของกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกรวมกับสภาการแพทย์แผนไทยก็พบว่า ตำรับยาไทยแต่ดั้งเดิมนั้น มีบางตำรับที่จำเป็นต้องใช้กัญชาเป็นส่วนผสม ซึ่งองค์ความรู้เหล่านี้เป็นองค์ความรู้พื้นบ้านที่มีมานาน เป็นภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยที่มีมาแต่ครั้งโบราณ ซึ่งบางตำรับยาสามารถที่จะนำมาใช้รักษาโรคบางโรคอย่างได้ผล เพราะทางกรมการแพทย์แผนไทยได้มีการศึกษาวิจัยมาจนแน่ชัดแล้ว นั่นจึงทำให้ทางกระทรวงสาธารณสุขมองเห็นว่าควรจะต้องเปิดทางให้ตำรับยาไทยพื้นบ้าน 16 ตำรับที่มีกัญชาเป็นส่วนผสมในการปรุงยา เช่น ยาไฟอาวุธ ยาอัมฤตย์โอสถ ยาน้ำมันสนั่นไตรภพ ยาอภัยสาลี เป็นต้น สามารถนำมาใช้รักษาโรคบางกรณีได้อย่างถูกกฎหมาย จึงได้มีการเสนอให้มีการแก้พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษในส่วนของกัญชาเพื่อให้กัญชาสามารถที่จะนำมาใช้ปรุงยาได้ กัญชาที่ด้านมืดและด้านสว่าง แม้ว่าทั่วโลกจะทราบดีว่ากัญชาสามารถนำมาสกัดยารักษาโรคได้หลายชนิด แต่ในขณะเดียวกันทุกคนก็รู้ด้วยว่ากัญชามีฤทธิ์ต่อจิตประสาท หากได้รับเข้าไปอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานและไม่มีการควบคุมก็จะส่งผลเสียต่อร่างกาย และหากจะว่าไปแล้วเรื่องของกัญชาก็เหมือนประเด็นเรื่องของการพนันออนไลน์ในปัจจุบัน เพราะจะมองเป็นด้านมืดก็ได้ เป็นด้านสว่างก็ได้ ในต่างประเทศมองว่าถ้าหยิบจับทั้งสองสิ่งนี้มาใช้ประโยชน์ให้ถูกด้านก็จะส่งผลดีในด้านเศรษฐกิจและสังคมแทนที่จะเป็นผลลบ อย่างเว็บไซต์รับพนัน

คุณแม่ทิ้งลูกน้อยทั้ง 5 คนไปเที่ยวกับแฟนหนุ่ม

การเป็นแม่ไม่ใช่งานที่ใครจะทำก็ได้ เพราะเป็นงานที่ใช้ความเข้าใจ การควบคุมอารมณ์ ความอดทน ความรับผิดชอบและความเข้มแข็งสูงมาก จะเห็นได้ว่ามีข่าวเกี่ยวกับแม่ที่ทอดทิ้งลูก หรือแม้กระทั่งแม่ที่ทำร้ายร่างกายและจิตใจของลูกตัวเองอยู่เป็นประจำ หลายคนไม่ได้ตรวจสอบตัวเองด้วยซ้ำว่าตัวเองมีความพร้อมมากน้อยแค่ไหนก่อนที่จะให้กำเนิดชีวิตหนึ่งขึ้นมา เพราะไม่ได้ประเมินความต้องการและความพร้อมของตัวเองอย่างรอบคอบ ตรงไปตรงมา ปัญหาจึงเกิดขึ้นเหมือนอย่างกรณีนี้ คุณแม่วัย 28 ปี ได้รับตัดสินให้จำคุก 20 ปี เนื่องจากทิ้งลูกไปเที่ยวที่ชายหาดเพราะต้องการปลีกตัวออกมาพักผ่อน เมื่อตำรวจเข้าไปตรวจค้นในบ้านของ Chrystal Walraven ได้พบเจอกับข้าวของกระจัดกระจาย ขยะเต็มไปหมด มีมีดวางอยู่เกลื่อนและเด็กน้อยวัย 15 เดือนนอนเสียชีวิตอยู่ในเตียงเด็กเล็กและมีผ้าห่มปิดปากอยู่ ตำรวจเองได้เอาผ้าออกแล้วพยายามขยับเพื่อให้เด็กตื่นและหายใจอีกครั้งแต่ก็ไม่เป็นผล ในขณะที่อีก 4 คนที่เหลืออยู่อีกด้านหนึ่งของบ้าน ซึ่งเด็ก ๆ ถูกแม่ทิ้งเพื่อหนีเที่ยวไปยังรัฐเซาท์แคโรไลนากับเพื่อนผู้ชายคนหนึ่งได้หลายวันแล้ว ตำรวจจึงได้แจ้งไปที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในทันที ในเวลาต่อมาคุณแม่คนนี้ได้ถูกจับกุมด้วยข้อหาที่เธอทอดทิ้งลูกของเธอทั้ง 5 คนอายุ โดยเฉลี่ยตั้งแต่ 15 เดือนถึง 12 ปี ซึ่งการทอดทิ้งบุตรหรือการทำร้ายบุตรของผู้ปกครองจะต้องได้รับโทษจำคุก 20 ปี ตำรวจพยายามสืบหาว่าใครเป็นผู้ดูแลเด็กขณะที่เธอไม่อยู่ และได้โทรไปหาพ่อของเด็กเหล่านั้นซึ่งภายหลังเขาบอกว่าให้เพื่อนบ้านดูแลเมื่อตอนที่แม่ของพวกเขาไม่อยู่ อย่างไรก็ตาม เมื่อพนักงานสอบสวนติดต่อกับเพื่อนบ้านที่อยู่ระแวกนั้น เพื่อนบ้านบอกว่าหนึ่งในพ่อของเด็กเหล่านั้นเป็นคนดูแลและคิดว่าแม่ของเด็กอยู่ที่ทำงาน

คำอวดครวญของชายที่ข่มขืน กระทำชำเลาคนอื่น

ข่าวการข่มขืนซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิสตรี และสิทธิมนุษยชนของคนอื่นอย่างร้ายแรงเกิดขึ้นบ่อยครั้ง จนเราต้องมาตั้งคำถามว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับสังคมทั่วโลกที่มีคนกลุ่มหนึ่งมองว่าการทำร้ายร่างกายและการพยายามร่วมเพศกับคนอื่นโดยที่ไม่ได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายว่าเป็นเรื่องที่สามารถทำได้ ในมวลเรื่องราวที่ผู้เคราะห์ร้ายประสบทั้งหมด เรื่องนี้คือเรื่องที่เปราะบางมากที่สุดด้วยความที่ว่าในหลาย ๆ สังคม เมื่อมีเหตุการณ์ที่ผู้เสียหายถูกกระทำทางเพศ จะมีการ Blamming victim หรือการโทษว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของเหยื่อ เช่น เมื่อมีคนโดนข่มขืน สังคมจะรุมประนามเหยื่อว่าแต่งตัวไม่มิดชิด หรือเอาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์อันตราย และไม่ได้แก้ไขต้นตอสาเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้นคือ ผู้กระทำความผิดเลย ทำให้เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายต้องต่อสู้กับคำครหาเยอะมาก กว่าจะสามารถเอาชนะคำกล่าวหาเหล่านั้นและเข้าแจ้งความ ผู้ต้องการที่ลากวัยรุ่นสาวเข้าพุ่งไม้ไปข่มขืนอย่างทารุณราว 2 ชั่วโมงโอดครวญว่าถ้าเขาโดยจับขังคุก เขาจะไม่สามารถมีครอบครัวได้ สำนักงานข่าวรายงานว่าเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายถูกจับไปราว 2 ชั่วโมงก่อนจะถูกปล่อยออกมาและผู้กระทำผิดยังขูดรีดเงินจากเธออีกด้วย ในภายหลังศาลเองได้รับแจ้งว่าการจู่โจมแบบนี้เกิดขึ้นเมื่อผู้เคราะห์ร้ายเดินออกมาเพื่อพบเพื่อนของเธอหลังจากที่เลิกงานออกกะที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตผู้ต้องหาเห็นว่าหญิงสาวมีเสน่ห์มากแล้วลอบตามเธอไปที่ลานจอดรถและใช้มือประกบปิดปากเธอ ศาลได้ตัดสินผู้กระทำผิดซึ่งอายุ 25 ปี โดยศาลตัดสินความผิดข้อหาข่มขืนและกระทำชำเลาเหยื่อด้วยความตั้งใจ ตัดสินให้เขาจำคุก 14 ปี และแจ้งต่อว่าเขาจะถูกย้ายกลับไปคุกที่ประเทศบ้านเกิดที่โรมาเนียหลังจากที่วีซ่าของเขาหมดอายุ เขาได้ตัดพ้อว่าเขาจะมีโอกาสที่จะมีชีวิตที่ดีได้หรือไม่ และโอกาสที่เขาจะสร้างครอบครัวของตัวเองได้จบสิ้นแล้วกับการกระทำผิดครั้งแรกและครั้งเดียว โดยเขาได้รับการอธิบายว่าสิ่งที่เขาทำลงไปเป็นสิ่งที่ชั่วร้ายและเลวทราม เป็นการกระทำของคนที่มีความผิดปกติทางใจในด้านเพศ พนักงานอัยการแจ้งว่าเหยื่อได้รับการกระทบกระเทือนด้านจิตใจมากจนทำให้เธอกินยาเกินขนาดและนำมีดเข้านอนด้วยหลังจากที่เธอโดนกระทำ ผู้ต้องหายืนยันหนักแน่นกับศาลว่ากิจกรรมทางเพศทั้งหมดที่เกิดขึ้น เกิดจากการร่วมมือร่วมใจระหว่างทั้งสองคนหลังจากที่ทั้งสองคนสบตากันที่ลานจอดรถ เขายังกล่าวอีกว่าเธอเต็มใจที่จะไปกับเขาโดยไม่ได้ต่อต้านขัดขืนอะไร ผู้ร่วมกระบวนการตัดสินกล่าวเพิ่มเติมว่า ไม่มีข้อกังขาใด ๆ เลยเกี่ยวกับเรื่องที่ว่าเขาได้รับความทุกข์ทรมานจากที่ได้รับคำตัดสินราวกับว่าเขาคือเหยื่อของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในตอนนี้ความเข้าใจของผู้ต้องหาคือการตัดสินของศาลส่งผลต่อการดำเนินชีวิตอยู่ต่อของเขา โดยที่เขาไม่ได้คำนึงว่าการกระทำของตัวเองส่งผลต่อเหยื่ออย่างไร

หญิงสาวทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวด หลังจากที่อุ้มลูกหมาของเธอขึ้น

นางสาวเจนนี่ ชาร์ป อายุ 28 ปี เหลือเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมงก่อนจะเป็นอัมพาตถาวรซึ่งจะเป็นความทุพพลภาพที่จะเปลี่ยนชีวิตไปตลอดกาล เธอได้กล่าวว่า หลังของเธอเจ็บปวดมากและเธอถูกปล่อยให้เป็นอัมพาตอยู่อย่างนั้นจนอยากจะฆ่าตัวตายหลังจากที่เธออุ้มน้องหมาของเธอขึ้น ไม่กี่อาทิตย์ก่อนเทศกาลคริสต์มาสเมื่อปีที่แล้ว เจนนี่จากนอร์แทมป์ตันเชอร์ สหราชอาณาจักรอยู่ในครัวของเธอและจากนั้นก็ก้มลงเพื่ออุ้มลูกหมาร็อตไวเลอร์สุดน่ารักอายุ 13 อาทิตย์ ชื่อ วินนี่ จากนั้นเธอก็มีความรู้สึกแปลก ๆ ที่ขา แล้วเธอยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ในตอนแรกเธอคิดว่ามันคืออาการปวดทั่วไป แต่หลังไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้นเธอรู้สึกทรมานมากแล้วขาและบริเวณอวัยวะเพศของเธอก็ไม่รู้สึกอะไรเลย  เธอทุกข์ทรมานทั้งอาทิตย์ต่อมาไม่สามารถขับถ่ายได้ด้วยตัวเอง ซึ่งในตอนนั้นเธอได้กินยาแก้ปวดเพื่อลดความเจ็บปวด หลังจากนั้น 3 วัน เธอไปพบแพทย์เฉพาะทางกระดูกสันหลังซึ่งแจ้งเธอว่าเธอต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล A&E ในทันที และเมื่อทางโรงพยาบาลได้ตรวจร่างกายเบื้องต้นแล้วเธอก็ถูกส่งต่อเพื่อทำการรักษาต่อไป ซึ่งในภายหลังเธอเข้ารับการผ่าตัดที่ผ่านไปได้ด้วยดี โดยหมอที่รักษาเธอในช่วงเวลานั้นได้อธิบายให้เจนนี่ฟังว่าขณะที่เธอนอนอยู่ที่เตียงแบบนี้การพูดและการเคลื่อนไหวของร่างกายเธออาจจะยังไม่กลับมาเป็นปกติเพราะระบบประสาทได้รับความเสียหาย  เจนนี่ได้เปิดเผยในเวลาต่อมาว่าเธอกลัวมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจะไม่ยอมแพ้ เธอตั้งใจว่าจะฝึกพูดและเคลื่อนไหว จะเดินและขยับร่างกายให้มากขึ้น โดยเธอพูดคุยอย่างร่าเริงกับผู้คนที่มาเยี่ยมเยือนเธอ แม้ว่ามันจะทำให้เธอเหนื่อยมากแต่เธอก็ให้กำลังใจตัวเองและยังยืนหยัดต่อไป นอกจากนี้เจนนี่ยังเข้ารับการทำกายภาพบำบัดในโรงพยาบาลเพื่อให้เธอสามารถกลับมาเคลื่อนไหวได้อย่างปกติอีกครั้ง หลังจากนั้นไม่นานเจนนี่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เลย จึงทำให้เธอตัดสินใจย้ายไปอยู่กับพ่อแม่ หลังจากที่เข้ารับการรักษาเป็นเวลานานและได้รับการตรวจร่างกายหลายครั้งทีมแพทย์ก็ยังไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่าโรคของเจนนี่มีสาเหตุมาจากอะไร หมอที่รักษาเธออยู่ได้แจ้งพ่อกับแม่เธอว่า เธออาจจะไม่สามารถกลับมาเดินได้อีกต่อไปและหมอเองก็ยังไม่แน่ใจกับโรคที่เธอเป็นอยู่มากนัก แต่ก็ยังแจ้งต่ออีกว่าถ้าเธอพยายามในการทำกายภาพบำบัดอย่างเคร่งครัดก็ยังพอมีความหวังอยู่ เจนนี่เปิดเผยว่า รอยแผลเป็นที่หลังของเธอย้ำเตือนเธอว่า เธอเข้มแข็งกว่าสิ่งที่จะมาหยุดยั้งเธอ และเธอไม่ได้มีความคิดว่าจะโทษวินนี่เลย

ผู้หญิงคนหนึ่ง ได้รับความทรมานและพิการจากสิวติดเชื้อ

สิวเป็นปัญหาที่สาว ๆ หลายคนประสบและพยายามหาวิธีเพื่อที่จะมารักษาแตกต่างกัน ทั้งพยายามรักษาด้วยตัวเองโดยการซื้อครีมมารักษาและบำรุงและไปหาหมอเฉพาะทาง การมีสิวและรอยบนใบหน้าทำให้เสียความมั่นใจในตัวเอง ทำให้ไม่อยากพบปะผู้คน หลายคนเมื่อเกิดปัญหานี้ขึ้นกับตัวเองก็สามารถพาตัวเองไปรักษาได้อย่างง่ายดาย ทั้งในแง่ของการง่ายต่อการเข้าถึงการรักษาและสภาวะทางการเงิน ทั้งปัจจุบันมีนวัตกรรมมากมายที่เข้ามารองรับความต้องการและอาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนใบหน้า แต่สำหรับบางคนกลับไม่ได้โชคดีอย่างนั้น การเข้าถึงการรักษาเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ง่ายนักทำให้ปัญหาที่ใหญ่กว่าตามมา หญิงผู้รับเงินบำนาญรายหนึ่งกล่าวว่าเธอติดเชื้ออย่างหนักจากการกดสิวแค่เม็ดเดียวเมื่อ 6 ปีก่อน ในกรณีนี้เป็นเคสที่เกิดขึ้นได้น้อยมากมีชื่อเรียกว่า neurofibromatosis มีสาเหตุการจากการเจริญเติบโตของเซลล์ที่ผิดปกติ นาง Librada Patam อายุ 68 ปีถูกพบเจอเมื่อเธอเดินไปตามท้องถนนในจังหวัดคาบีเต ประเทศฟิลิปปินส์อาทิตย์ที่ผ่านมาด้วยใบหน้าที่เสียโฉมและติดเชื้ออย่างรุนแรง เธอบอกอาการของเธอหนักขึ้นเรื่อย ๆ และเธอก็ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร ผู้สัญจรไปมาเกิดคำถามเกี่ยวกับการติดเชื้ออย่างรุนแรงของเธอซึ่งเธอได้ให้เหตุผลว่าเธอเริ่มติดเชื้อหลังจากที่เธอบีบสิวเม็ดหนึ่งในปี 2013 ซึ่งยังไม่แน่นอนเท่าไหร่นักเพราะการติดเชื้อของเธอน่าจะมาจากสาเหตุที่พบเจอได้ยากมากกว่าการติดเชื้อจากสิว ผู้สื่อข่าวไปสัมภาษณ์คนในพื้นที่ โดยได้ข้อมูลมาดังนี้  “เธอพูดเสมอเลยว่าไม่รู้ว่าต้องมีชีวิตไปอีกนานเท่าไหร่ เธอพูดแบบนี้มานานแล้วด้วย”  “เธอบอกว่าเธอเริ่มประสบปัญหานี้หลังจากที่เธอบีบสิวไป”  “ตอนนี้ผู้คนมักจะพูดไม่ดีใส่เธอ ว่าเธอเป็นซอมบี้บ้าง ว่าเธอถูกสาปบ้าง หรือแม้กระทั้งว่ามีปีศาจร้ายสิงเธออยู่” “ เธอไม่มีคนดูแล เธอดูแลตัวเองทุกอย่าง ทั้งซักเสื้อผ้า ทำอาหาร แถมเธอไม่มีที่นอนต้องนอนบนพื้น ทั้ง ๆ ที่อยู่กับลูก”

หญิงอินเดียแก้แค้น ด้วยการลากเข้ากองไฟ

ซิงเกิ้ลมัม วัย 25 ปี จากอินเดียที่ถูกโจมตี ถูกข่มขืนและถูกเผ่าทั้งเป็นฆ่าผู้โจมตีเธอด้วยการลากเขาเข้ามาในกองไฟแล้วหนีเอาชีวิตรอดออกไปซึ่งตอนนี้ผู้หญิงคนนั้นยังมีชีวิตอยู่แต่ใบหน้าและมือของเธอถูกไฟไหม้ ขณะที่ผู้ชายที่โจมตีเธอถูกไฟคลอกและเสียชีวิตในโรงพยาบาลในเวลาต่อมา ผู้หญิงคนดังกล่าวได้แจ้งตำรวจว่า ผู้ชายคนนั้นอายุ 42 ปี และทำร้ายร่างกายเธอ ข่มขืนเธอในบ้านของเธอเอง ที่อินเดียในวันจันทร์ที่ผ่านมาขณะที่ลูกสาวของเธอออกไปข้างนอก โฆษกของตำรวจได้เปิดเผยว่า ชายคนดังกล่าวได้สาดน้ำมันก๊าดใส่ผู้เสียหายและจุดไฟเพื่อเผาเธอ โดยที่ในอินเดียเองมีการรายงานถึงความรุนแรงทางเพศบ่อยครั้ง การรายงานการข่มขืนมีมากถึงวันละ 100 เคสในแต่ละวัน ทั้งนี้ยังมีรายงานว่าผู้เสียหายหลายรายหวาดกลัวและโดยผู้กระทำผิดข่มขู่ไม่ให้ไปแจ้งตำรวจ ซึ่งในขณะนี้ ปัญหาไม่ได้ถูกนำมาแจ้งทั้งหมดและรุนแรงกว่าที่คิดไว้มาก ผู้เชี่ยวชาญยังเปิดเผยอีกว่า ศาลและตำรวจยังพิจารณาคดีว่าผู้เสียหายเป็นฝ่ายผิดอีกด้วย ในปีที่ผ่านมานี้เคสต่าง ๆ ที่ได้รับแจ้งเข้ามาถูกพิจารณาอย่างรวดเร็วโดยผิวเผินเท่านั้น เดือนธันวาคมที่ผ่านมา ผู้หญิงอายุ 47 ปี ตัดอวัยวะเพศชายของผู้ที่เดินสะกดรอยตามและจะบังคับให้มีกิจกรรมทางเพศลูกสาวอายุ 27 ปีของเธอ ผู้หญิงอินเดียรวมตัวกันประท้วงต่อต้านการข่มขืนและความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงในนิวเดลีวันนี้ ด้วยการถือป้ายที่มีข้อความว่า “break the silence on rape” หรือที่แปลเป็นไทยว่า หยุดความเงียบที่มีต่อการข่มขืน สำนักงานข่าว Sun Online รายงานว่าวิธีที่ผู้นำแคมเปญสิทธิสตรีเชื่อว่าการแพร่กระจายของการข่มขืนในอินเดียเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเพราะอิทธิพลของแอลกอฮอล์และหนังโป๊   ด็อกเตอร์Rukmini