ซามเมอร์ลิเบอโร่ลูกบอลทองคำ

หากจะพูดถึงนักฟุตบอลที่เล่นกองหลังในปัจจุบัน หลายคนคงคิดถึงชื่อ “เฟอร์กิล ฟานไดค์” กองหลังลิเวอร์พูลและฮอลแลนด์ ฟาน ไดค์ คือ ยอดกองหลังตัวกลางแห่งยุคซึ่งเล่นได้ครบเครื่องโดยเฉพาะการป้องกันลูกกลางอากาศจากคู่ต่อสู้ หรือผู้เล่นในตำแหน่งแบ็คที่วิ่งขึ้นลงแต่ละด้านของสนามทั้ง ซ้ายและขวา มีความเร็ว เลี้ยงบอลได้ดีไม่แพ้นักเตะในแนวรุกเลย เช่น มาร์เซโล่, จอร์ดี้ อัลบา แต่สำหรับมัทเธอัส ซามเมอร์ เจ้าของฉายา “เจ้าชายผมแดงเพลิง” ที่สื่อไทยตั้งให้แล้วกลับแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง

คว้าแชมป์กับม้าขาว ย้ายไปเสี่ยงโชคกับงูใหญ่ กลับมาคว้าแชมป์ใหญ่กับเสือเหลือง

 ซามเมอร์เกิดเมื่อวันที่ 5 กันยายน 1967 ในเยอรมันตะวันออกเขาเริ่มเล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรุกให้กับทีมไดนาโม เดรสเดนหนึ่งใน 2 สโมสรชื่อดังของฝั่งเยอรมันตะวันออก หลังจากรวมเยอรมันแล้วเดรสเดนกับฮันซ่า รอสต็อคคือสองสโมสรจากฝั่งตะวันออกที่ได้ลงเล่นในบุนเดสลีกาด้วยกัน การเล่นที่โดดเด่นกับไดนาโม เดรสเดนทำให้ “ม้าขาว”วีเอฟบี สตุ๊ตการ์ทคว้าซามเมอร์ไปร่วมทีม ในช่วงเวลานี้ซามเมอร์เล่นในตำแหน่งจอมทัพเต็มตัวโดดเด่นทั้งรุกและรับจนสามารถพาทีมม้าขาวคว้าแชมป์บุนเดสลีกาเยอรมันสำเร็จในสมัยที่ 4 ในขณะนั้น แต่อยู่กับทีมม้าขาวรวมได้เพียง 2 ปี ก็ถูกทีม “งูใหญ่” อินเตอร์ มิลานยักษ์ใหญ่เซเรียอาทุ่มเงินซื้อเพื่อหวังจะได้เป็นตัวแทนโลธ่าร์ มัทเธอุส กัปตันทีมชาติเยอรมันตะวันตกที่พึ่งพาทีมคว้าแชมป์โลก 1990 ที่เริ่มโรยราและมีอาการบาดเจ็บ แต่ซามเมอร์กลับลงเล่นให้กับทีมงูใหญ่ไปทั้งหมดได้เพียง 11 นัดท่ามกลางความกดดันและความคาดหวังจากแฟนบอลชาวอิตาเลียนรวมถึงอาการบาดเจ็บทำให้เขาโชว์ฟอร์มไม่ออก ก่อนถูกขายให้กับ “เสือเหลือง” โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ในที่สุด

พาดอร์ทมุนด์และเยอรมันคว้าแชมป์ก่อนซิวบัลลงดอร์

1993 ซามเมอร์ย้ายกลับมาเล่นบ้านเกิดกับดอร์ทมุนด์ด้วยอายุ 26 ปีในเวลานั้น หลายคนคิดว่ามันคงจบแล้วสำหรับเขา เพราะในตอนนั้นเยอรมันก็มียอดผู้เล่นด่านกลางเก่ง ๆ จำนวนมากทั้งสเตฟาน เอฟเฟ่นแบร์ก, มาริโอ บาสเลอร์, อันเดรียส โมลเลอร์ และตัวเก๋าอย่างอูเว่ บายส์, โธมัส เฮสเลอร์ จึงทำให้โอกาสในทีมชาติของเขาแทบถูกปิดลงแล้ว แต่นั่นทำให้อ็อทมาร์ ฮิทซ์เฟลด์กุนซือระดับตำนานของเยอรมันตัดสินใจถอยซามเมอร์ลงมาเล่นเป็น ลิเบอโร่ซึ่งทำหน้าที่คล้าย ๆ สวีปเปอร์เป็นกองหลังตัวสุดท้ายในเกมรับ แต่ในช่วงเวลาที่เล่นเกมรุกสามารถดันขึ้นสูงหรือขึ้นไปยิงประตูคู่แข่งได้เช่นกัน ซึ่งในเยอรมันยุคนั้นแม้จะมีนักเตะลักษณะนี้อยู่หลายคน กลับหาคนที่ประสบความสำเร็จได้ยากเต็มที และซามเมอร์ไม่ทำให้ใครผิดหวัง เขากลับมาเล่นได้อย่างยอดเยี่ยมอีกครั้งจนสามารถพาดอร์ทมุนด์คว้าแชมป์ถ้วยใหญ่สุดในยุโรปด้วยการเอาชนะยูเวนตุส 3-1 และพาทีมชาติเยอรมันพลิกคว้าแชมป์แห่งชาติยุโรปในปี 1996 คว้าบัลลงดอร์ไปครองโดยเฉือนโรนัลโด้ (R9) ของบราซิลเพียงคะแนนเดียวเท่านั้น และเป็นนักเตะเพียงคนเดียวในประวัติศาสตร์ของดอร์ทมุนด์ที่คว้ารางวัลนี้ได้สำเร็จ